
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวลือเกี่ยวกับ “โดรนขนาดใหญ่ที่เข้าข่ายการสอดแนม” กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ สร้างทั้งความตื่นตระหนกและความกังวลในสังคมไทย โดยเฉพาะกับพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นจุดอ่อนไหวด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่า ข่าวเรื่องโดรนสายลับขนาดใหญ่ที่มีการตั้งรางวัลนำจับ 100,000 บาทต่อผู้แจ้งเบาะแสนั้น “ไม่เป็นความจริง” และขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ ตรวจสอบแหล่งข่าวอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในสังคม
แม้ข่าวลือจะเป็นเท็จ แต่ข้อเท็จจริงคือ มี “การใช้โดรนตรวจการณ์” ในหลายพื้นที่จริง เช่น ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่ภูภูมะเขือ สัตตโสมปราสาท อำเภอกันฑลลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ รวมถึงช่องจอมและช่องสายตา แม้จะยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นโดรนของฝ่ายใด แต่ภาพจากกล้องวงจรปิดและรายงานของชาวบ้านก็สะท้อนถึงความไม่สบายใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ท่ามกลางความกังวลดังกล่าว สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออก “ประกาศห้ามบินโดรนทั่วประเทศ” เป็นกรณีพิเศษในช่วง 30 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคมนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยและความมั่นคง หากผู้ใดฝ่าฝืนมีบทลงโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะเดียวกัน หน่วยงานความมั่นคง เช่น กองทัพภาคที่ 2 ยังได้ประกาศปรับแผนการรักษาความปลอดภัย พร้อมเพิ่มมาตรการตรวจเข้มประชาชนที่เข้า-ออกพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการแทรกซึมของผู้ไม่หวังดี
ผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศยานไร้คนขับให้ความเห็นว่า บทบาทของ “โดรน” ในสถานการณ์ความมั่นคงยุคปัจจุบันถูกนำไปใช้มากกว่าแค่กิจกรรมเพื่อความบันเทิงหรือการถ่ายภาพทั่วไป ในสงครามสมัยใหม่ โดรนมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ภารกิจสำรวจ สอดแนม ถ่ายภาพ รวบรวมข้อมูลเป้าหมาย ไปจนถึง “โดรนพลีชีพ” ที่สามารถโจมตียุทโธปกรณ์ฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยต้นทุนต่ำ เช่นกรณีศึกษาจากยูเครนที่โดรน FPV ซึ่งติดกล้องและหัวจรวดสามารถสร้างความเสียหายต่อรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์แบบไร้เสียงเตือนล่วงหน้า นี่เองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์สงครามและสร้าง “สงครามจิตวิทยา” ให้ทหารในพื้นที่ตื่นตัวสูงสุด

แม้จะยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า โดรนที่ถูกพบเห็นในหลายจุดเป็นของใคร หรือมีเป้าประสงค์ใดแน่ชัด แต่สถานการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับสังคมไทยในยุคข่าวสารรวดเร็ว หน่วยงานรัฐต้องปรับตัวทันต่อความเปลี่ยนแปลง เร่งยกระดับความร่วมมือ การเฝ้าระวัง พร้อมควบคุมการใช้งานโดรนให้เป็นไปอย่างรัดกุม ขณะเดียวกัน สาธารณชนควรตระหนักถึงบทบาทและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีโดรน ทั้งในมุมของความมั่นคงและการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารปลอม
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ในเรื่องความมั่นคงจากเทคโนโลยีโดรน ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือ ข่าวจริง หรือการปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ การควบคุมพื้นที่และการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นควบคู่กับการสร้างองค์ความรู้ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถรับมือภัยคุกคามสมัยใหม่ได้อย่างเท่าทัน ขณะเดียวกันประชาชนเองก็ต้องมีภูมิคุ้มกันข่าวลวง พร้อมสนับสนุนมาตรการภาครัฐ เพื่อช่วยกันรักษาความสงบปลอดภัยของประเทศต่อไป
ชมคลิปข่าวต้นฉบับซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงของบทความนี้ สะท้อนสถานการณ์ โดรนตรวจการณ์ชายแดน มาตรการภาครัฐ และความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ
ติดตามข่าวสารความขัดแย้ง ไทย – กัมพูชาและเทคโนโลยีโดรนต่างต่าง ๆ ได้ที่ https://drone.or.th/drone-border-tension/
หรือ 詳しくはお問い合わせください:LINE @droneth