
DJI Flip

DJI Mini 4 Pro
การออกแบบโดรน Flip
จุดเด่น “พลิกกลับ”
สิ่งที่ฉันประทับใจที่สุดในดีไซน์นี้คือรูปแบบการพับแขนที่ “พลิก” ออกมาอย่างง่ายดาย
- กางแขน: แค่พลิกใบพัดออกทีละด้าน โดรนก็พร้อมใช้งาน
- พับเก็บ: พอจะเก็บ ก็แค่พลิกใบพัดกลับเข้าไป โดรนก็ปิดตัวลงเช่นกัน
- การออกแบบตรงนี้ทำให้การพกพาและการตั้งค่าโดรนสะดวกรวดเร็วมาก
วิธีควบคุม
มีอยู่ประมาณ 4 วิธีในการควบคุมเจ้า Flip โดยหนึ่งในนั้นคือการไม่ใช้รีโมตคอนโทรลเลย
- โหมด “ไม่ใช้รีโมต”:
- กางแขนโดรนให้เปิด
- กดปุ่มเล็ก ๆ ด้านขวาด้วยนิ้วเพื่อเลือกโหมด (Spotlight, ActiveTrack ฯลฯ)
- กดปุ่มค้างไว้ โดรนจะบินขึ้นเองและล็อกเป้าหมาย (เช่น ติดตามตัวฉัน) โดยอัตโนมัติ
- ควบคุมผ่านแอป DJI Fly:
- เมื่อกด ‘Take Off’ ในแอป ตัวโดรนจะกางแขนเอง
- บนหน้าจอจะปรากฏจอยสติ๊กเสมือน ให้ควบคุมเหมือนเป็นรีโมตปกติ
- วิธีนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ แต่ก็น่าสนใจที่ DJI ใส่ฟีเจอร์นี้มาให้
- โหมด “ไม่ใช้รีโมต”:

QuickShots และการติดตามอัตโนมัติ
มี QuickShots (โหมดถ่ายอัตโนมัติ) หลายแบบที่ใช้ได้กับ Flip เช่น Dronie, Rocket, Circle ฯลฯ ซึ่งปรับความสูงและระยะทางได้ในแอป DJI Fly
- โหมด “ติดตาม” (ActiveTrack) คือโหมดที่ฉันโปรดปรานที่สุด เพราะทำงานได้ดีมากอย่างน่าทึ่ง
- จุดน่าสนใจอีกอย่างคือ เมื่อถ่ายเสร็จ หากคุณยืนนิ่ง 3 วินาที โดรนจะบินกลับมาหาคุณและลงจอดบนมือได้เอง
เปรียบเทียบคุณภาพวิดีโอระหว่าง Flip และ Mini 4 Pro
การตั้งค่าที่ใช้
- ถ่ายวิดีโอ 4K
- ISO 100, ความเร็วชัตเตอร์ 1/50 (หรือ 1/15 ตามสถานการณ์)
- Sharpness ลบ 2, NR (Noise Reduction) = 0
- โปรไฟล์สี D-Log M (แล้วปรับเป็น Rec.709 ในภายหลัง)
ผลลัพธ์ภาพ
- ทั้งสองรุ่นให้วิดีโอคุณภาพดีมาก ยากที่จะบอกความแตกต่างอย่างชัดเจน
- ความคมและไดนามิกเรนจ์ใกล้เคียงกัน
- ซูม 300% ก็ยังได้รายละเอียดที่ดีใกล้เคียงกัน
- รองรับ 4K/100FPS ได้ทั้งคู่ ฟุตเทจที่ได้ก็ยังสวยใช้งานได้
- Mini 4 Pro มีโหมด 1080p/200FPS เพิ่มเข้ามา แต่ภาพที่ได้จะ “นุ่ม” และไม่ค่อยคม

การทดสอบแบตเตอรี่
ผลลัพธ์เบื้องต้น
- Mini 4 Pro เหมือนจะนำเล็กน้อยตลอดการทดสอบ
- โดรน Flip จับสัญญาณดาวเทียมได้มากกว่าโดยเฉลี่ยประมาณ 4 ดวง ซึ่งบ่งบอกว่า DJI อาจใส่ชิป GPS หรือเสาอากาศที่ดีกว่าใน Flip
สถานการณ์บินวน (Circle Flight)
- เมื่อให้โดรนทั้งสองบินวนในพื้นที่ ก็ยังเป็นแนวโน้มเดิม คือ Mini 4 Pro มีอายุแบตสูงกว่าเล็กน้อย
ช่วงท้ายแบตเตอรี่
- Flip แบตหมด (เหลือ 0%) ก่อน Mini 4 Pro ประมาณ 6%
- แต่พบว่าแม้แบตจะแสดง 0% แล้ว โดรน Flip ยังลอยอยู่ต่อได้อีกเกือบ 2 นาที
- Mini 4 Pro เองก็อยู่ต่อได้อีกราว 1 นาทีครึ่งหลังแบตเหลือ 0%
- Flip ลงจอดที่ 27 นาที 28 วินาที ส่วน Mini 4 Pro อยู่ได้ 28 นาที 3 วินาที (ต่างกัน 35 วินาที)
แบตเตอรี่เสริม (Mini 4 Pro)
- สามารถซื้อแบตเตอรี่แบบ Plus (หรือแบตเสริม) ซึ่งจะให้เวลาบินสูงสุดราว 36 นาที
ทดสอบฟีเจอร์อื่น ๆ
Hyperlapse
- ใช้งานง่าย
- ข้อจำกัด: ผลลัพธ์เป็น 1080p และมีให้เลือกระยะห่างเฟรม (interval) แค่ 2 วินาทีเท่านั้น
- ถ้าอยากได้ไฟล์คุณภาพสูงจริง ๆ ต้องเอาไฟล์ RAW มาเย็บเองแล้วทำ Stabilize ภายหลัง
ถ่ายภาพพาโนรามา
- Flip ถ่ายภาพพาโนรามาได้ง่ายเหมือนโดรน DJI รุ่นอื่น ๆ
- เหมาะมากสำหรับคนอยากได้ภาพวิวกว้าง ๆ จากโดรนแบบจบหลังกล้อง
เทียบภาพนิ่งและแสงน้อย
- ฉันทดสอบ ISO 400 ในสภาวะแสงน้อย ก็ไม่เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่าง Flip กับ Mini 4 Pro
- คุณภาพไฟล์ถือว่าดีทั้งคู่
ถ่ายวิดีโอแนวตั้ง
ทั้ง Flip และ Mini 4 Pro ถ่ายวิดีโอแนวตั้งได้
- Mini 4 Pro จะดีกว่าเพราะมัน “พลิก” โมดูลกล้องจริง ๆ ทำให้ถ่ายแนวตั้งได้ความละเอียดสูง
- Flip จะเป็นการครอปเซนเซอร์ ทำให้จำกัดแค่ 2.7K
- หวังว่าอนาคต DJI จะให้เราถ่ายวิดีโออัตราส่วน 4:3 ได้ (แม้จะเฟรมเรตต่ำ) เพื่อครอปไปทั้งแนวตั้งและแนวนอนทีหลัง เหมือนอย่างกล้อง Action ของ DJI

ภาพนิ่งและความละเอียด
- ถ่ายภาพนิ่งความละเอียด 48MP ได้ และคุณภาพก็ดูดีมาก
- ถ้าไม่ติดเรื่องขนาดไฟล์ใหญ่ แนะนำให้ถ่ายที่ 48MP เพราะเก็บรายละเอียดได้เยอะ
ระบบหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง (Obstacle Avoidance)
- Flip มีเซ็นเซอร์เฉพาะด้านหน้าเท่านั้น (แต่เป็นเซ็นเซอร์ที่ทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อย)
- Mini 4 Pro มีเซ็นเซอร์รอบตัว (360°) และยังมีฟีเจอร์แสดงตัวอย่างสิ่งกีดขวางบนหน้าจอให้เห็นล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้บินถอยหลังหรือบินด้านข้างด้วยความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ
ความเร็วสูงสุดและความต้านทานลม
- บนกระดาษ โดรนทั้งสองมีสเปกความเร็วสูงสุดและระดับต้านทานลมเท่ากัน
- แต่ในการใช้งานจริง Mini 4 Pro ดูจะรับมือกับลมแรงได้ดีกว่า และยังคงทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า
- สาเหตุอาจเป็นเพราะ Flip มีโครงป้องกันใบพัดซึ่งเพิ่มแรงต้านลม
ระดับเสียงขณะบิน
- Mini 4 Pro เงียบกว่าและเสียงนุ่มกว่า
- Flip มีตัวครอบใบพัด ทำให้เกิดเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยขณะบิน


ขนาดและน้ำหนัก
- ทั้งคู่หนัก 249 กรัมเท่ากัน
- Flip เมื่อพับเก็บจะกินพื้นที่ในกระเป๋าเป้หรือกระเป๋าเดินทางมากกว่าเล็กน้อย เพราะต้องเผื่อพื้นที่สำหรับโครงครอบใบพัด
- แต่ก็คุ้มค่าสำหรับคนที่ต้องการ “ความอุ่นใจ” ว่าจะไม่เผลอโดนใบพัดบาดตัวเองหรือชนใคร
ราคาและความคุ้มค่า
- ชุด Fly More Combo ของ Flip: ประมาณ 780 ดอลลาร์
- ชุด Fly More Combo ของ Mini 4 Pro: ประมาณ 1,100 ดอลลาร์
- ส่วนต่างราคาประมาณ 320 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากเมื่อเทียบว่าคุณภาพวิดีโอใกล้เคียงกัน
สรุปและข้อแนะนำ
- มี Mini 4 Pro อยู่แล้ว
- หากคุณไม่ได้อยากได้ฟีเจอร์พลิกแขนหรือการควบคุมแบบไม่ใช้รีโมตจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องอัปเกรด
- อยากได้ดีไซน์พลิกกลับและบินอัตโนมัติ
- Flip น่าสนใจมาก เพราะประสบการณ์ “บังคับไม่ใช้รีโมต” สนุกและแปลกใหม่
- บอดี้มีโครงครอบใบพัด ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และทำให้ผู้คนรอบข้างสบายใจขึ้น
- ถ้าต้องการระบบกันชน 360° และบินต้านลมได้ดี
- Mini 4 Pro เหมาะกว่า เพราะมีเซ็นเซอร์รอบตัวและรักษาความเร็วได้ดีกว่าในสภาพลมแรง
- งบประมาณ
- หากคำนึงถึงความคุ้มค่าและงบเป็นหลัก Flip ถูกกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
- แต่ถ้างบไม่ใช่ปัญหา การป้องกันสิ่งกีดขวาง 360° และสมรรถนะของ Mini 4 Pro ยังน่าสนใจ